วิธีปลูกและดูแลอะโวคาโด  Avocado หรือ Alligator Pear

เทคนิคการปลูกต้นไม้

อะโวคาโด หรือเรื่องอีกอย่างหนึ่งว่า Alligator Pear เป็นไม้ที่ให้คุณค่าทางสารอาหารมากมายมีไขมันดีทร่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูงเป็นจุดเด่น ทำให้มีผู้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย อะโวคาโด มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศในแถบอเมริกาโดยมีชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้นำมาปลูกไว้ที่จังหวัดน่านในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล จึงทำให้อะโวคาโดสามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ต้นอะโวค่โดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ มีลำต้นสูงใหญ่ โดยความสูงประมาณ 18 ถึง 20 เมตรเปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อน ใบอาโวคาโดจะมีสีเขียวเข้ม ลักษณะใบจะเป็นรูปวงรีเรียวยาวคล้ายรูปหอก บางสายพันธ์จะมีกลิ่นหอมด้วยครับ เมื่อถึงเวลาให้ดอกนั้นดอกจะออกมาทางปลายกิ่ง ดอกมีสีเขียวอมเหลือง เป็นดอกสมบูรเพศ ส่วนลักษณะของผล ผลใหญ่เท่ากับลูกสาลี่ ทรงกลมและทรงรูปไข่ มีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวอยู่กลางผล อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ต้องรับประทานผลสุกเท่านั้น ห้ามรับประทานดิบโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้คลื่นใน้และปวดท้องได้ครับ

อะโวคาโด คืออะไร

อะโวคาโด คืออะไร

อะโวคาโด Alligator Pear มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Persea Americana Mill เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงโดยมีไขมันดีอยู่ในเนื้อของอะโวคาโด เมื่อได้รัประทานแล้วจะได้รับไขมันดีเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมากจึงอยากให้ตุณได้มีไว้ในสวนอีกหนึ่งทางเลือกครับ พื้นที่ที่เหมาะสำหรับปลูกอะโวาโดควรเป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพราะสามารถปลูกได้หลายสายพันธุ์ มาทำความรู้จักกับสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในขณะนี้ครับ

อะโวคาโดพันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson)มีผลค่อนข้างกลม น้ำหนัก 200-300 กรัม เนื้อสีเหลืองอมเขียว เมล็ดจะใหญ่มากอยู่เต็มแน่นในช่องเมล็ด ระยะเก็บเกี่ยวเร็วกว่าระยะอื่น คือเริ่มเดือนกรากฏาคม ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ นับว่าเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นครับ 

อาโวคาโดพันธุ์แฮส (Hass)  มีผลเป็นรูปไข่ผิวเปลือกของผลขุขะมากผิวสีเขียวเข้มเมื่อสุกอาจจะเป็นสีเขียวหรือสีม่วงเข้มขนาดของผล ประมาณ 200 – 300 กรัม เนื้อสีเหลือง เมล็ดเล็ก ฤดูเก็บเกี่ยวเริ่มในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์

อะโวคาโด พันธ์ุ บูธ 7 (Booth 7) มีผลกลม น้ำหนักผลขนาดประมาณ 300 -500 กรัม มีผิวขรุขระ เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน เม็ดขนาดกลางติดแน่นอยู่ในช่องเมล็ด ฤดูเก็บเกี่ยวตุลาคม-ธันวาคม

อะโวคาโด้พันธุ์ ลูล่า(Lula) ผลมีขนาดกลางน้ำหนักผลประมาณ 300 ~400 กรัม เนื้อสีเหลืองอมเขียว มัเมล็ดใหญ่มากกลมแน่นอยู่ในช่องเมล็ด สามารถเก็บผลผลิตได้ในเดือนตุลาคมจนถึงเดือนมกราคม จะให้ผลดกปรเว้นปีครับ

อาโวคาโดพันธุ์บูธ8 Booth8) มีขนาดผลรูปไข่ ประมาณ270 -400 กรัม เปลือกสีเขียวหนาขลรุขระ เนื้อสีครีมอ่อนเมล็ดค่อนข้างใหญ่เช่นกัน การให้ผลในแต่ละกิ่งจะให้ผลแบบดกเป็นพวงๆพวงละ2-4ผล สามารถเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคม จะให้ผลดกปีเว้นปีเช่นเดียวกันกับพันธุ์ลูล่า (Lula))

อะโวคาโด้พันธุ์บัคคาเนีย (Buccaneer) ถือเป็นราชินีผลไม้มีความทนต่อโรค ทนอากาศร้อน ผลมีลักษณะรูปไข่ เนื้อเนียนละเอียดอร่อยมาก ขนาดผลน้ำหนัก 300 – 400 กรัม สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเดือนตุลาคม-มกราคม

อาโวคาโดพันธุ์ปากช่อง2-8 (Pakchong2-8) ผลสีเขียวมี. กระสีน้ำตาลบริเวณใกล้กับขั้วผล ผลมีสีเขียวอมเหลือง เปลือกหนาเนื้อหนาสีเหลืองอมเขียวเมล็ดอยู่ในช่องเมล็ดแน่น มีน้ำหนัก 450 -700 กรัม สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม

อะโวคาโดพันธุ์ ฮอลล์(Hall) มีผลคล้ายกับหลอดไฟ น้ำหนักผลใหญ่ 400 -500 กรัมบางครั้งเกือบถึง 600-700 กรัม การติดผลจะไม่ดก ผิวเปลือกสีเขียวเข้มค่อนข้างเรียบ เปลือกหนา เมล็ดมีขนาดกลางถึงใหญ่อัดแน่นอยู่ในช่องเมล็ด จะให้ผลผลิตในเดือนพฤศจิกายน-มกราคม

อาโวคาโดสายพันธุ์เฟอร์เออเต้ (Fuerte) มีผลขนาดค่อนข้างเล็กน้ำหนักผลประมาณ 200 ถึง 350 กรัมเท่านั้น ผลสีเขียวรูปไข่ เนื้อสีเหลืองครีม เมล็ดไม่ใหญ่ สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วเช่นกัน คือเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนเดือนกรกฎาคม ระยะเก็บเกี่ยวยาวนานถึงเดือนมกราคม นับเป็นพันธุ์ที่สามารถเก็บผลผลิตได้อย่างคุ้มค่ามากครับ

วิธีปลูก

วิธีปลูก

วิธีการปลูกอาโวคาโด เป็นวิธีที่ไม่ยากมากนะเพียงแค่มีรายละเอียดที่ต้องดูแลระบบรากของอะโวคาโด้ให้ดี มห้สามารถผ่าน 1-2ปีแรกไปให้ได้ ต่อจากนั้นก็เตรียมเฮได้เลยเพราะคุณจะได้เห็นความแข็งแรงของลำต้น ความงามของกิ่งใบที่ค่อยๆโตขึ้นเป็นชั้นๆอย่างสวยสมบูรณ์ และเพียง3-5 ปีก็จะเเห็นข่อดอกและออกผลมาอย่างสวยงามตระการตาอย่างน่าทึ่งและน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งครับ มาดูวิธีการปลูกและข้อควรรู้สำหรับการปลูกอาโวคาโดกันครับ

วิธีการปลูกอะโวคาโด ส่วนใหญ่จะปลูกด้วยต้นพันธ์ุที่เพาะเมล็ดอาจจะเพาะเมล็ดเองหรือซื้อต้นพันธุ์มาจากแหล่งอื่นที่มีขายทั่วไปก็ได้  โดยต้นพันธุ์ที่จะนำมาปลูกนั้นต้องมั่นใจว่าแข็งแรงทั้งลำต้นและรากด้วยครับ แต่หากเป็นต้นกล้าที่เราเตรียมเพาะเมล็ดไว้เองจะต้องเลือกเมล็ดจากต้นพันธุ์ที่แข็งแรงไม่มีเชื้อโรคติดที่เมล็ด และเป็นเมล็ดที่ได้จากผลแก่เก็บจากบนต้นไม่ใช้ผลที่หล่นลงมาไต้ต้น ในกรณีที่ซื้อต้นกล้ามาจากแหล่งขายทั่วไป จะต้องนำต้นพันธุ์มาย้ายลงถุงขนาดใหญ่กว่าเดิม จากนั้นให้เลี้ยงต่อไปจนกว่าจะได้ลำต้นและรากที่แข็งแรงดีจึงนำมาลงหลุมปลูกที่เตรียมไว้ ต้นที่จะนำมาปลูกให้ปลูกรอดได้นั้นควรมีอายุประมาณ 1-2ปี เนื่องจากมีระบบรากที่แข็งแรงและรอยต่อประสานระหว่างกิ่งพันธุ์กับต้นตอสนิทกันดีแล้วนั่นเอง

วิธีปลูกอะโวคาโดให้รอดใน 5 ขั้นตอนง่ายๆครับ

1.ขุดหลุมปลูกหลุมประมาณ 80x80x80  และวางแนวระยะห่างระหว่างหลุมต่อไปประมาณ 6 เมตรครับ  จากนั้นให้นำดินปลูกที่ผสมด้วยสารป้องกันเชื้อราไตรโกเดอร์ม่า มารองก้นหลุม

2.ผสมดินปลูกกับ ปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมักในอัตรา 1:1:1คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาใส่ลงในหลุมปลูกให้เต็มโดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้พูนต้นหลังปลูกด้วย

3.ลงมือปลูกต้นอะโวคาโดด้วยความระมัดระวังโดยตั้งลำต้นให้ตรง ใช้กรรไกรตัดก้นถุงพลาสติกออกก่อนแล้วปลูกลงไปทั้งถุงเพื่อป้องกันดินในถุงแตก แล้วจึงกลบดินผสมปุ๋ยที่เหลือไว้ให้พูนรอบๆต้นเหลือขอบถุงพลาสติกไว้พอให้สามารถดึงออกมาทิ้งได้โดยคค่อยๆดึงจากด้านบนเมื่อดึงได้แล้วให้พูนดินต่อโดยพูนให้สูงกว่าพื้นดิน ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้รากลอยและเพื่อไม่ให้น้ำขังหน้าดินด้วยครับ

4.เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะจนขัง จากนั้นให้คลุมหน้าดินด้วยฟางข้าวเป็นการพรางแสงด้วย  และกันต้นไม้ล้มด้วยการใช้ไม้ที่ปลวกไม่กินมาปักค้ำยันโดยปักเฉียง 45 องศา อย่าปักตรงๆนะครับหากโดนรากจะอันตรายมาก ช่วงปลูกใหม่นี้ควรรดน้ำอย่างต่อเนื่องทุกๆ3-5 วัน เมื่อผ่านไป1เดือนให้นำฟางข้าวที่คุมไว้ออกด้วยเพื่อป้องกันปลวกมากัดกินฟางข้าวและอาจกินลุกลามไปถึงรากได้ ใยฝนช่วง 2-3 เดือนแรกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้ต้นอะโวคาโดได้เติบโตและมีรากแน่นกระจายได้อย่างรวดเร็ว

5.ในระยะปลูกใหม่ควรให้ปุ๋ย อินทรีย์ เช่นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก โรยรอบต้นทุกเดือน และควรกำจัดวัชพืชรอบๆโคนต้นหลังจากปลูกได้2-3เดือนโดยใช้มีดตัดห้ามถากหรือถางโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้พลาดไปโดนรากของต้นอะโวคาโดฉีกขาดเป็นแผล และแผลจะนำเขื้อโรคต่างๆเข้าไปทำลายโครงสร้างรากของอะโวคาโดนั่นเอง  

สำหรับต้นที่ได้จากการปลูกด้วยเพาะจากเมล็ดนั้นจะให้ผลผลิตภายใน 5ปี และต้นที่ปลูกด้วยต้นพีนธุ์ที่มีการเสียบยอดจะให้ผลผลิตเร็วกว่าคือเพียง2ปีก็ได้เก็บผลผลิตกันแล้วครับ  

เป็นไงบ้างครับคิดว่าพอจะลงมือปลูกได้แล้วใช่ไหมครับในอีพีที่1/2นี้คงต้องขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนไม่ไปต่อในอีพี 2/2 คุณจะได้ทราบถึงวิธีดูแลและรักษาอะโวคาโด , โรคและแมลงศัตรูพืช, การนำอะโวคาโดมาใช้อะไรได้บ้างและบทสรุปสั้นๆมาต่อกันเลยครับ

วิธีดูแลและรักษา

วิธีดูแลและรักษา

การให้น้ำ

การให้น้ำควรให้น้ำแก่ต้นที่ปลูกใหม่ประมาณ 15 ลิตรต่อวันเมื่อต้นโตขึ้นปริมาณความต้องการน้ำจะมากขึ้นให้น้ำเป็นระบบน้ำหยดหรือมีสปริงเกอร์บริเวณโคนต้นก็จะสะดวกมากขึ้น ที่สำคัญควรรดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่ควรให้น้ำขังโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้รากเน่าและต้นอะโวค่โดจะค่อนๆตายลง 

การงดให้น้ำในระยะให้ดอก 

โดยปกติแล้วในฤดู หนาวซึ่งเป็นฤดูแล้งผลไม้ต่างๆจะผลิตดอกออกผลอยู่แล้วต้นอาโวคาโดก็เช่นกันเป็นธรรมชาติที่ในระยะออกดอกต้นไม้จะไม่ต้องการน้ำดังนั้นคุณจึงไม่ควรให้น้ำในระยะที่อะโคาโดเริ่มให้ดอกโดยสังเกตุได้จากการเกิดตาดอกที่ยอดเป็นตุ่มตาป้านกลมและช่อดอกจะเริ่มทะยอยกันออกมา เมื่อเห็นว่าข่อดอกโคขึ้นมากแล้วจึงเริ่มกลับมาให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยให้น้ำครั้งละ 20-30 ลิตรต่อต้น ทุกๆ3-4วันเป็นเวลา1เดือน

หลังจากนั้น เปลี่ยนมาให้น้ำ 40-60 ลิตร ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1ปี

การใส่ปุ๋ย 

เมื่อปลูกอาโวคาโดได้ครบ 1ปี ให้ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมอัตราส่วน 3:1:1 ทั้งนี้อาจให้โดยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมกับปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ในอัตราส่วน1:1โดยคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงหว่านใส่ใต้ต้นต้นละ 200 กรัม ปีละ3ครั้ง

ปีที่2ก็ให้ใส่ปุ๋ยเหมือนกับปีแรก แต่เพิ่มเป็นต้นละ300 กรัม ปีละ4ครั้งหรือทุกๆ4เดือน  

ปีที่3ให้ใส่ปีละ2ครั้งในปริมาณ 400 กรัมต่อต้นปีต่อๆไปให้ ให้ใส่ปีละครั้งๆ500 กรัมต่อต้นโดยใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักเพิ่มเติมด้วยครับ

การจัดแต่งทรงต้นและตัดแต่งกิ่ง 

ความจริงไม่จำเป็นต้องตัดก็ได้ ยกเว้น    ตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะพุ่มของต้นอะโวคาโด  ดังนั้นเมื่อมีกิ่งใหม่เกิดขึ้นมาควรจัดให้กิ่งใหม่ๆเหล่านั้นได้โน้มต่ำลงมาเพื่อสะดวก ต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตในอนาคต และหากสูงมากเสามารถเลือกตัดยอดกระโดงทิ้งได้ จะได้ทรงพุ่มที่สวยงาม ไม่สูงมากเกินไป 

การบำรุงยอดและใบ

 ใช้ผลิตภัณฑ์ อีซี่ ในอัตรา2ซีซี ต่อน้ำ 1ลิตร ฉีดพ่นทางในและยอด/ เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตของต้นใบและมีความสมบูรณ์และยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ พืชสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมเช่นอากาศที่ร้อนจัด เป็นต้นครับ

การบำรุงดอก

ให้บำรุงในช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกชุก ฉีดพ่นสังกะสีแคลเซี่ยมและโบรอน ในช่วงที่มีดอกออกมาแล้วหรือจะฉีดสกัดไว้ตั้งแต่ช่วงที่เมตตาตุ่มดอกก็ได้ ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสมุนไพรให้บ่อยขึ้นและป้องกันโรคและแมลง

การเก็บเกี่ยว

ให้ทดลองเก็บผลาร่คิดว่าแก่เต็มที่ประมาณ6-8 ผล เพื่อผ่าดูก่อนว่า เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีน้ำตาลเข้มทั่วทั้งเมล็ดจึง ถือว่าแก้พร้อมที่จะให้เก็บเกี่ยวได้แล้ว การให้ออกผลของ อะโวคาโดอาจจะมีสองระยะทำให้ผลแก่หรือสุกไม่พร้อมกันดังนั้นจึงต้องตัดผลที่แก่เต็มที่แล้วออกมาพิสูจน์ก่อนเตรียมขาย วิธีตัดให้ใช้กันไกรตัดที่ขั้วผล และควรหาภาชนะนุ่มๆมารองรับด้วยป้องกันผลช้ำไม่สวย จากนั้นให้ตัดขั้วผลออกให้เหลือสั้นๆคือให้เหลือเฉพาะฐานของขั้วที่ติดกับผลเท่านั้น

โรคและแมลงศัตรูพืช

โรคที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งสะหรับอะโวคาโดคือโรคแอนแทร็กโนส เป็นตัวทำลายที่ร้ายแรง จะระบาดอยู่ในช่วงหน้าฝนกับผลไม้แทบเกือบจะทุกชนิดโดยเฉพาะอะโวคาโด ดังนั้นคุณควรระวังโรคนี้เป็นพิเศษเพราะมันจะเริ่มระบาดตั้งแต่ระยะติดผลอ่อนจนถึงระยะผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวครับ

อาการของโรคที่เห็นได้ชัดคือจะเป็นจุดแผลสสีน้ำตาลที่ก้านใบและดอก แผลจะขยายตัวเพิ่มมากขค้นเรื่อยๆจนมีหลายแผล อาการรุนแรงคือแผลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้ใบ ก้านใบ ก้านดอกเริ่มแห้งและร่วงหล่นลงพื้น ดังนั้น ควรเก็บกวาดใบไม้และก้านดอกที่แห้งร่วงใต้ต้นไปเผาทิ้งนอกสวนทุกวันเพื่อไม่ให้โรคระบาดลามขยายพันธุ์ออกมาได้อีก  สำหรับอาการที่ผลอ่อนจะเห็นเป็นแผลสีน้ำตาลเข้มถึงดำ หากอาการรุนแรงผลก็จะหลุดร่วงก่อนกำหนด อาการบนผลแก่ก็เช่นเดียวกัน จะเห็นเป็นแผชสีม่วงยุบลงไปในผล มักจะพบในระยะใกล้เก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต 

วิธีป้องกันคือควรตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอถ้าหากพบว่าอะโวคาโดเริ่มมีอาการระบาดของโรคแอนแทรกโนส ให้รีบทำการตัดแต่งกิ่งที่เสียหายออกให้หมดและนำไปเผาทิ้งนอกสวนทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและลดอัตราการแพร่ขยายพันธุ์นั่นเอง และควรกำจัดวัชพืชโดยรอบต้นและใต้ต้นอะโวค่โดด้วยหลังจากนั้นค่อยเริ่มฉีดพ่นด้วยสารป้องกันและกำจัดโรคพืช อะซอกซีสโตรบิน 25% เอสซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารแมนโคเซป 80% ดับเบิลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรหรือ สารโพรคลอราซ 45%อีซี ในอัตรา 15 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร  ซึ่งจะต้องพ่นทุกๆ7-10 วัน และภายหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว ควรตัดแต่งพุ่มให้โปร่งเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทสะดวกเพื่อลดความชื้นสะสมในทรงพุ่มครับ

การนำมาใช้

การรับประทานอะโวคาโดควรเป็นผลที่แก่และสุกเท่านั้น ก่อนรับประทานต้องล้างให้สะอาดและต้องแกะเปลือกออกก่อน ห้ามทานทั้งเปลือก เนื้ออะโวคาโดนั้นอร่อยมากมี รสชาดมันออกจืด ไม่มีความหวานเลย คุณสามารถรับประทานโดยธรรมชาติของผลสุกไม่ปรุงแต่งรสชาด หรือจะรับประทานแบบปรุงด้วยน้ำกะทิ หรือจะผ่าตามยาวแล้วเอาเมล็ดออกแล้วราดด้วยน้ำผึ้งแล้วรับประทานก็ได้คุณประโยชน์มากเช่นกันครับ

ประโยชน์ของอะโวคาโด คือ มีสารอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาและเป็นผลไม้ที่ถือว่ามีไขมันสูงซึ่งเป็นไขมันชนิดดี(HDL) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่งเพราะมีคุณสมบัติโดยตรงในการช่วยลดไขมันเลว(LDL)ในหลอดเลือดได้จึงช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในเส้นเลือดอีกทั้งยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ปัองกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและป้องกันโรคหัวใจวายได้  นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ลองมาซึมซับความพิเศษของอะโวคาโดกันครับ

อะโวคาโด มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดน้ำหนัก  ป้องกันโรค เลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก

อะโวคาโด้มีโปรตีนสูงซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายง่ายมีใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี 

ไขันของอะโวคาโดสามารถช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์ซึ่งเป็นตัวช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ คือไงโคฟันเบต้าแคโรทีน และลูทีน ดังนั้นการรับประทานอาโวคาโดเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคเหน็บชาได้

อะโวคาโดมีโฟเลตสูงซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างมากและจำเป็นสำหรับทารกในครรภ์ด้วย

น้ำมันอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดหากเทียบกับน้ำมันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด อัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้นวดศีรษะเพื่อช่วยเร่งการงอกของเส้นผมได้

อะโวคาโด สามารถรับประทานร่วมกับไอศกรีม นมข้นหวาน น้ำตาล เค้ก สลัด หรือพุดดิ้งเป็นต้น 

สามารถใช้เนื้อของอะโวคาโดมาปรุงอาหารแทนเนยด้วยครับ

เมื่อมีประโยชน์ก็มีโทษครับ โทษของอะโวคาโดคือ ผลดิบมีสารเทนนินที่มีอันตรายต่อร่างกายจึงห้ามรับประทานผลดิบโดยเด็ดขาด มีบางรายที่รับประทานผลดิบ จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและอาจถึงชีวิต บางรายเกิดลมพิษคันทั่วผิวหนังครับ บอกต่อคนที่คุณรักด้วยครับ

   จะเห็นได้ว่าประโยชน์ม่กมายของอะโวคาโดนี้ช่างมหัศจรรย์อย่างน่าทึ่งจริงๆครับ ต้องหามาปลูกให้ได้นะครับรับรองว่า จะมีความสุขทั้งกาย และใจทีเดียวครับ

สล็อตออนไลน์

บทความต้นไม้

ไม้มงคล ตกแต่งบ้าน ราคาถูก